ถาม-ตอบปัญหาธรรมะ

ทองตก

๑๑ มิ.ย. ๒๕๕๙

ทองตก

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม วันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๙

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

 

ถาม : เรื่อง “บารมี ๑๐ ทัศกับการภาวนา

กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพ ผมมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการภาวนาที่ต้องมีบารมี ๑๐ ทัศเต็มเปี่ยมหรือไม่จึงจะภาวนาได้เห็นผล เนื่องจากญาติของกระผมไปปฏิบัติธรรมที่ที่หนึ่ง แล้วได้มีโอกาสเจอกัน เขาเห็นผมภาวนาอย่างจริงจัง เขาก็บอกว่า ที่สถานปฏิบัติธรรมที่ญาติของผมไป เขาเน้นเรื่องบารมี ๑๐ ทัศ โดยยกตัวอย่างพระพุทธเจ้าว่าท่านบำเพ็ญบารมีจนกระทั่งตรัสรู้ สำรวมกาย วาจาให้เรียบร้อย แต่เรื่องภาวนาให้ไปภาวนากันเองตามอัตภาพ ไม่ได้เน้นเรื่องการภาวนาเป็นจริงเป็นจัง แต่ว่าเน้นเรื่องต้องบำเพ็ญบารมี ๑๐ ทัศต้องบริสุทธิ์จริงๆและเตือนผมว่า ถ้าไม่มีบารมีเต็มเปี่ยม การภาวนาจะไม่มีทางเกิดผล แต่ถ้าบารมี๑๐ ทัศเต็มก็จะไปเกิดเป็นเทวดา และเมื่ออยู่บนสวรรค์ก็จะมีพระพุทธเจ้าหรือพระสาวกมานำทางไปเอง

กระผมฟังแล้วอึ้งไปพักหนึ่งเลย อ้าวแล้วเราจะไปไหนวะ อ้าวแล้วเราจะไหวหรือเปล่านี่ แต่ก่อนผมทำอะไรผิดศีลหลายอย่าง อย่างที่คนสมัยนี้คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา เช่น การโกหก ฆ่ามด ฆ่ายุง กินเหล้าเฮฮากับเพื่อนฝูง แต่ว่าด้วยการเริ่มศึกษาธรรมะและประวัติของครูบาอาจารย์ กระผมจึงเริ่มเข้าใจว่า ถ้าไม่ถือศีลอย่างจริงจังและไม่ภาวนา ก็เละเทะอยู่อย่างนี้ ก็เลยเริ่มถือศีลอย่างเคร่งครัดและภาวนาอย่างจริงจังทุกวัน วันละไม่ต่ำกว่า - ชั่วโมง

แต่พอได้ฟังญาติของผมบอกแบบนี้ ผมเกิดความสงสัยมาก และกลัวมากว่าจะต้องปฏิบัติอย่างไร หรือต้องทำบารมีเป็นทุนก่อนถึงจะภาวนาได้ กระผมจึงกราบขอความเมตตาคำชี้แจงจากหลวงพ่อด้วยครับ

ตอบ : คำว่า “บารมี ๑๐ ทัศ” กรณีนี้มันเป็นข้อเท็จจริง มันเป็นข้อเท็จจริงของพระโพธิสัตว์ มันเป็นข้อเท็จจริงของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ท่านจะตรัสรู้ ท่านต้องมีบารมี ๑๐ ทัศ ทานบารมี ศีลบารมี สัจจบารมี บารมี ๑๐ ทัศมันต้องเป็นพระพุทธเจ้า

ทีนี้ถ้าพระพุทธเจ้าทำอย่างนี้ถูกต้องไหม ถูกต้อง พระพุทธเจ้าทุกองค์ต้องเป็นอย่างนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ องค์ต้องสละลูกสละเมีย ต้องสละขนาดนั้นน่ะ ถ้าไม่สละลูกสละเมีย อย่างไรมันก็ติดข้องไปในใจ

พระเวสสันดรๆ มาสละกัณหา ชาลี พอเวลาสละไปแล้ว พอสละลูกสละเมียสุดท้ายแล้วเทวดามาขอนางมัทรี นั่นน่ะเพราะรู้ว่าต้องสละ พอสละไปแล้ว นี่ไง สิ่งที่สละ นี่ในพระไตรปิฎกหรือในบาลีศึกษากันมาเป็นแบบนี้ ในสังคมของเรา เราก็เชื่อกันแบบนี้

ฉะนั้น บารมี ๑๐ ทัศประเสริฐไหม ประเสริฐ ประเสริฐมากๆ แล้วคนที่ทำได้อย่างนี้ เห็นไหม ดูสิ มีลูกศิษย์มากที่เขามาหาเรานี่นะ จะมาปรึกษาว่าเขาปรารถนาพระโพธิสัตว์ๆ เด็กๆ ก็มีนะ ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้า เขาจะสละทานของเขา เขาจะเป็นหัวหน้าพาคนไปทำบุญของเขา เขาคิดของเขาอย่างนั้น เขาปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ถ้าปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ทำอย่างนั้นถูกต้องไหมถูก พระโพธิสัตว์

แต่เวลาทำอย่างนั้นไป หลวงปู่มั่นก็ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ หลวงปู่มั่นนี่หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้านะหลวงปู่เสาร์ปรารถนาเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้า เวลาปรารถนาไปแล้ว เวลาปรารถนา ถ้าพูดถึงคนที่ปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์นะ แล้วได้สร้างบารมีมามหาศาล เกิดมานี่จะ โอ้โฮอำนวยความสุข มันจะมีลาภมีทุกอย่างพร้อมไปหมดเลย แล้วท่านต้องสร้างต่อของท่านไปเรื่อย

แต่ถ้าอย่างเรานี่ อย่างเราตอนนี้เราจะปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์บ้าง เราก็เริ่มอธิษฐานตอนนี้ แล้วเราก็เป็นพระโพธิสัตว์แบบเริ่มต้น แสงนี่น้อยกว่าหิ่งห้อยอีก แสงติ๊ดนึง จะทายอะไรก็ผิดหมด เวลานั่งภาวนาไปนะ โอ้โฮจิตลงเป็นสมาธิเป็นฌานนะ จะรื้อสัตว์ขนสัตว์ เขาจะเล็งญาณ เขาจะแบบว่ามีอภิญญา จะรู้วาระจะรู้เรื่องโชคชะตา จะอยู่อย่างนั้นน่ะ แล้วทายผิดๆ ทั้งนั้นน่ะ ถ้าพระโพธิสัตว์เริ่มต้นอย่างเรานี่ พระโพธิสัตว์เริ่มต้นอย่างนี้ ทายไปผิดหมดล่ะ ทายไปไม่ถูกสักอย่าง แต่ถ้าพระโพธิสัตว์ที่ท่านสร้างอำนาจวาสนามามาก แล้วบารมีท่านเยอะท่านจะมองอะไรเห็นชัดเจนของท่าน นี่พระโพธิสัตว์ยังมีเป็นชั้นๆ นะ

แล้วหลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ พระโพธิสัตว์เวลาท่านภาวนาไป พอจิตสงบ พระโพธิสัตว์ได้แต่ฌานสมาบัติ เข้าอริยสัจไม่ได้ ถ้าเข้าอริยสัจไปแล้วมันจะตัด ตัดความเป็นพระโพธิสัตว์ไง ถ้าเข้าถึงอริยสัจมันจะเป็นโสดาบัน ถ้าโสดาบันเกิดอีก  ชาติ พระโพธิสัตว์ต้องเกิด  อสงไขย  อสงไขย ๑๖อสงไขย แล้วเป็นพระโสดาบันมันอีก  ชาติ มันเข้ากันได้ไหม มันเป็นไปไม่ได้

ฉะนั้น พระโพธิสัตว์จะเข้าถึงอริยสัจไม่ได้ พระโพธิสัตว์จะเข้าได้แต่อภิญญาเท่านั้น ได้แต่ฌานโลกีย์ แต่ไม่เข้าสู่อริยสัจ ถ้าเข้าสู่อริยสัจ ถ้าเข้าสู่อริยสัจเป็นพระโสดาบันก็อีก  ชาติ ถ้าสิ้นกิเลสไปจบแล้วเป็นพระโพธิสัตว์ได้อย่างไร นี่ถ้าพระโพธิสัตว์แล้วไม่เข้า

ฉะนั้น เวลาหลวงปู่มั่นท่านภาวนาไป ท่านบอกท่านภาวนาจิตสงบแล้วก็พิจารณากาย พิจารณากายก็เป็นทฤษฎีไง พิจารณากายนี้เป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่มีอยู่แล้ว ใครๆ ก็เข้าใจได้ แต่ด้วยอำนาจวาสนาอันนั้นน่ะ ด้วยอำนาจวาสนาว่าเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านพิจารณาไปแล้วออกมาไม่มีอะไรเลย ก็เหมือนกับเราจิตสงบแล้วเข้าไปรู้ไปเห็น ไปรู้ไปเห็นก็เห็นนิมิตต่างๆมันไม่เข้าสู่อริยสัจ แล้วพอท่านออกจากสมาธิมานี่ เอ๊ภาวนาแล้วมันไม่พัฒนาขึ้นมันไม่ดีขึ้น มันเป็นเพราะอะไร มันเป็นเพราะอะไร ก็ค้นคว้าหาตัวท่านเอง ไปปรึกษาหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่เสาร์บอกว่า “ท่านมีปัญญาเยอะ เราแก้ท่านไม่ได้” สุดท้ายท่านก็ค้นคว้า “อ๋อ!”

สุดท้ายท่านลาพระโพธิสัตว์ การลานะ ต้องจิตสงบลึกๆ แล้วเข้าไปลาในนั้นพอลาพระโพธิสัตว์ เพราะใช้ปัญญาไตร่ตรองอยู่หลายวันนะ ถ้าเราจะเป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องสร้างบุญสร้างกรรม ต้องสร้างอำนาจวาสนาต่อไปอย่างนี้ นี่ยังไม่ถึงบารมี ๑๐ ทัศนะ หลวงปู่มั่นยังไม่ถึงนะ กึ่ง แล้วพระพุทธเจ้ายังไม่พยากรณ์ด้วยมันต้องพระพุทธเจ้าพยากรณ์ข้างหน้านู่น การว่าพระพุทธเจ้าพยากรณ์แล้วจะกลับไม่ได้ แต่นี่ยังไม่พยากรณ์ ท่านพิจารณาของท่าน นี่หลวงตาท่านเล่า เพราะท่านเล่าให้หลวงตาฟัง หลวงตาท่านก็มาพูดให้ลูกศิษย์ฟังอีกทีหนึ่ง เราก็ได้ฟังมาจากหลวงตา

ท่านบอกว่าท่านพิจารณาว่า ถ้าเป็นพระโพธิสัตว์ก็ต้องสร้างอำนาจวาสนาบารมีไป สุดท้ายแล้วนะ มันยังต้องอีกยาวไกลแค่ไหนก็ไม่รู้เพราะพระพุทธเจ้ายังไม่ได้พยากรณ์เลย แล้วกว่าพระพุทธเจ้าจะพยากรณ์ ไปอีกนะ พอไปแล้ว เวลาสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าก็เป็นพระอรหันต์ ถ้าในปัจจุบันนี้อริยสัจ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมณโคดมของเราท่านตรัสรู้แล้ว มันมีอริยสัจอยู่แล้ว ถ้าเราขวนขวาย เราขวนขวาย เราประพฤติปฏิบัติตามความจริงเข้า ถ้ามันถึงสิ้นกิเลสเราก็เป็นพระอรหันต์เหมือนกัน

คือว่าเป็นพระอรหันต์ในปัจจุบันนี้ กับรอไปเป็นพระอรหันต์ในอนาคตอีกนานไกล นี่ท่านพิจารณาตรงนี้ไง ท่านพิจารณา ถ้าท่านสิ้นกิเลส ท่านก็เป็นพระอรหันต์เพราะสาวกสาวกะเป็นพระอรหันต์ก็คือพระอรหันต์ ก็สิ้นกิเลสเหมือนกัน แต่ถ้าจะตรัสรู้เองโดยชอบก็ต้องสร้างอำนาจวาสนาบารมีไป คือไม่ฟังใคร ต้องรื้อค้นด้วยตัวเอง ก็ต้องยาวไปอีก อีกยาวไกลมาก อีกยาวไกลมากเพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าต้องพยากรณ์  อสงไขยอย่างน้อย  อสงไขย ๑๖ อสงไขย คือนับไม่ได้ ภพชาตินับไม่ได้ถึง  ครั้ง นี่  อสงไขยๆ

สุดท้ายแล้วท่านก็ลาความเป็นพระโพธิสัตว์นั้น แล้วท่านก็ประพฤติปฏิบัติของท่าน ท่านสำเร็จไปแล้ว ท่านสำเร็จแล้วท่านทะลุปรุโปร่งหมด เพราะท่านได้สร้างอำนาจวาสนามาขนาดนั้น ดูสิ ความรู้ของท่านถึงได้กว้างขวาง ความรู้ของท่าน ท่านถึงได้มาทรมาน ได้มาสร้างศาสนทายาทในกึ่งพุทธกาล ตั้งแต่หลวงปู่แหวน หลวงปู่พรหม หลวงปู่ขาว หลวงตา หลวงปู่ตื้อ นี่พระอรหันต์ทั้งนั้น ท่านสร้างพระอรหันต์ เพราะอะไร เพราะท่านมีอำนาจวาสนาบารมีท่านถึงสร้างพระอรหันต์ได้ ไอ้อย่างพวกเรา ขอให้ภาวนาจริงจังขึ้นมาเถอะ มันถึงจะได้ ถ้าได้ขึ้นมา เห็นไหม

ทีนี้คำว่า “บารมี ๑๐ ทัศดีไหม บารมี ๑๐ ทัศจำเป็นไหม

สุดยอด สุดยอด แต่สุดยอดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สาวกสาวกะเราไม่ถึงกับว่าต้องบารมี ๑๐ ทัศไง คำว่า “บารมี ๑๐ ทัศ” พระเวสสันดรอย่างนี้พอไปถึงพระเวสสันดรปั๊บ ทางอีสานเขาแห่บุญพระเวสๆ เพราะอะไร ก็นี่ไง บารมี๑๐ ทัศไง

เวลาพระเวสสันดรโดนขับจากราชวังไป แล้วพอไปแล้วเทวดาก็มาขออีกนะสละทานจนเขารับไม่ได้ พอเข้าไป ชูชกก็ไปขอกัณหา ชาลี เทวดาก็มาขอนางมัทรีสุดท้ายแล้วเสียสละหมด นี่บารมี ๑๐ ทัศ สุดท้ายแล้วก็คืนเมืองไง แห่พระเวสมันก็เป็นประเพณี เสียสละก็เสียสละจริงๆ นะ ไม่ใช่แห่พระเวส แห่พระเวสก็ไปเอาคำมาเท่านั้นน่ะ ไอ้นี่มันเป็นประเพณีวัฒนธรรม นี่พูดถึงว่าบารมี ๑๐ ทัศ

เราจะบอกว่า บารมี ๑๐ ทัศจะเกิดกับใคร จะเกิดอย่างไร บารมี ๑๐ ทัศเกิด๑๐ ชาติ แล้วนี่บอกจะสร้างบารมี ๑๐ ทัศ ที่เขาบอกต้องสร้างบารมี ๑๐ ทัศถึงจะภาวนาได้ เน้นย้ำนี่

เราไม่อยากจะพูดให้มันเป็นเรื่องทุจริตเกินไปไง แต่ถ้ามันคิดว่าเป็นวัฒนธรรม อำนาจวาสนามีเท่านั้น เขาบอกว่าเราจะสร้าง มันก็เหมือนกับทางทิเบต ทางทิเบตเวลาเขาภาวนาอย่างนั้นน่ะ สมัยพระพุทธเจ้าที่พยากรณ์ที่ว่าท่านสร้างทางให้พระพุทธเจ้าเดิน แล้วไม่เสร็จ ท่านเอาตัวท่านนอนราบไป แล้วพระพุทธเจ้าพยากรณ์ พระสมณโคดมเรานี่แหละ พระพุทธเจ้าพยากรณ์ นอนราบไปๆ ทิเบตเขาก็ถือกันอย่างนั้น แล้วแต่ว่าในพระไตรปิฎก ในบาลี ตรงไหนมันเป็นหัวใจ แล้วถ้าใครซาบซึ้งก็เอาอันนั้นมาเป็นวัฒนธรรม ถ้าเป็นวัฒนธรรม

ถ้าบารมี ๑๐ ทัศโดยวัฒนธรรมมันก็เป็นแค่พิธีกรรม มันเป็นแค่พิธีกรรม แต่ถ้าบารมี ๑๐ ทัศจริงๆ มันต้องเป็นแบบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นอย่างพระโพธิสัตว์นั่น นั่นน่ะของจริง ของจริงมัน  อสงไขย  อสงไขย ๑๖อสงไขย นี่เราพูดถึงคำว่า “บารมี ๑๐ ทัศ

ฉะนั้น เวลาที่เขาทำกันๆ มันถึงว่า เพียงแต่ว่าเราเห็นว่าพระพุทธเจ้าทำ เราก็จะทำตาม ถ้ามันเป็นเรื่องของทานนะ ระดับของทาน เราเห็นด้วย ระดับของทานทาน ศีล ภาวนา

เวลาเราอยู่กับครูบาอาจารย์ ครูบาอาจารย์ท่านบอกว่า เวลาในธรรมะติรัจฉานวิชา วิชาทางโลก วิชาทางโลก พูดถึงเรื่องของโลกๆ ชักช้านัก ไม่ให้พูดเรื่องอย่างนั้น ให้พูดเรื่องสัลเลขธรรม ให้พูดถึงเรื่องของการเสียสละ ให้พูดถึงการภาวนา สัลเลขธรรม พระกรรมฐาน พระที่ปฏิบัติเขาถือกันตรงนี้ไง เขาไม่พูดเรื่องโลกๆ

ทีนี้เรื่องของทานมันเรื่องของโลกๆ ถ้าเรื่องของโลกๆ เสียสละทานๆ มันมีความจำเป็นไหม ถ้ามีความจำเป็นๆ ดูสิ เด็กน้อยเรา เราก็มีการเสียสละให้มันอบอุ่น ให้จิตใจเป็นสาธารณะใช่ไหม อันนี้มันเป็นเรื่องโลกไง ถ้าเขามีอย่างนั้นนะมันก็เป็นแนวทาง เราจะบอกว่า แม้แต่แนวทางปฏิบัติมันยังมหาศาลเลย แล้วแนวทางอย่างนี้ เราจะเอายึดอย่างนั้น

ถ้ามีความเข้าใจ บารมี ๑๐ ทัศ นี่เราชาติปัจจุบันนะ ๑๐ ชาติ เป็นเตมีย์ใบ้เป็นพระสุวรรณสามที่หาบพ่อหาบแม่ นั่นน่ะบารมี ๑๐ ทัศ ก็ชาติหนึ่งไง บารมีก็ชาติหนึ่งๆ ไง นั่นมันเป็นบารมีของพระพุทธเจ้า ถ้าพระพุทธเจ้าต้องทำขนาดนั้นไง ที่เรากราบพระพุทธเจ้ากัน เรากราบไหว้เพราะอะไร เพราะพระพุทธเจ้าจะเกิดแต่ละองค์มันไม่ใช่ของง่ายๆ พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ที่จะเกิดได้ต้องมีบารมีขนาดนั้น

ไอ้เราต้องเน้นย้ำการสร้างบารมี ๑๐ ทัศ มันเป็นการเอามาระดมเพื่อให้เรามีศรัทธา เพื่อให้เรามั่นคง อันนี้เราคิดแง่บวกก่อนนะ ถ้าคิดไปในแง่โลกก็ตลาดมันเอานรกสวรรค์มาซื้อมาขายกันอยู่นั่นน่ะ นี่ไง ถ้ามีความเชื่อฝังหัวไปแล้ว เราเห็นร้อยแปด ไอ้เรื่องอย่างนี้นะ

ฉะนั้นบอกว่า ถ้าเรามีสติมีปัญญาขึ้นมา ไอ้กรณีนี้เราจะเข้าใจ ถ้าเขาบอกว่าเขาเน้นย้ำสร้างบารมี ๑๐ ทัศ

ใครจะเกิด ๑๐ ชาติ ๑๐ ทัศก็ ๑๐ ชาติ ใครจะเกิด ๑๐ ชาติ แล้วใน ๑๐ ชาตินี้มันจะมีแนวคิดตรงกันตลอด ไม่บิดเบี้ยวเลยไหม ชาตินี้มันยังเดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายอยู่นี่เลย ชาตินี้เอาบ้างไม่เอาบ้าง เอาครึ่งๆ กลางๆ อยู่นี่ แล้ว ๑๐ ชาติจะไม่ให้บิดพลิ้วเลยนี่

ชาตินี้ทำให้ได้เถอะ ถ้าเอาตามข้อเท็จจริงนะ แต่ถ้าเอามา มันเป็นการตลาดว่าอย่างนั้นเลยล่ะ ถ้าเป็นการตลาด ถ้าการตลาดมันเกี่ยวกับการภาวนาไหม มันไม่เกี่ยวกับการภาวนาเลย

นี่พูดถึงเวลาเขาถามไง เวลาเขาถามมามันตรงตัว เพราะโลกเป็นอย่างนี้อยู่แล้ว เวลาครูบาอาจารย์ หลวงตาท่านพูดเลย ภาวนาพอเป็นพิธี พอหลวงปู่เสาร์หลวงปู่มั่นท่านทำจนมีความเชื่อถือ

ในการประพฤติปฏิบัติเขาสร้างสำนักปฏิบัติกัน แล้วต่อไป เห็นไหม ในบาลีพูดไว้เหมือนกัน ต่อไปมันเป็นฆราวาสสอนธรรม พระนี่ไม่มีศักดิ์ศรีเลย เพราะพระนี่ไม่น่าเชื่อถือ แต่ถ้าฆราวาสน่าเชื่อถือนะ ตอนนี้ฆราวาสที่เขามีเชื่อเสียงทางสังคมเขาเปิดสำนักปฏิบัติกันทั้งนั้นน่ะ แล้วคนเต็ม เต็มเลยนะ ไปดูวัดสิ มีแต่หมาวิ่งอยู่รอบวัดเลย คอยกินเศษอาหาร แต่ตามสำนักปฏิบัติเต็มเลยนะ แล้วฆราวาสสอนด้วย พระไม่เกี่ยว นี่มันพูดถึง เพราะพระไม่มีศักดิ์ศรี

ทีนี้ถ้าบวชเป็นพระๆ แล้ว อวดอุตตริมนุสสธรรมมันเป็นปาราชิก มีคุณธรรมขนาดไหน ท่านก็เก็บไว้ในใจของท่าน แล้วถ้าคนที่มีคุณงามความดีจริงของท่านท่านอยู่ในใจของท่าน ท่านไม่พูดออกมาหรอก เพราะพูดออกมาแล้วคนมันเข้าใจไม่ได้ ถ้าคนจะเข้าใจได้ ครูบาอาจารย์ของเรา หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านไม่พูดอะไร ท่านสอนให้ปฏิบัติ

หลวงตาท่านพูดประจำ อยู่กับหลวงปู่มั่นมา ลูกศิษย์หลวงปู่มั่นทุกๆ องค์เลยไม่เคยได้ยินหลวงปู่มั่นพูดเลยว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ท่านไม่เคยพูดจากปากท่านเลยว่าท่านเป็นพระอรหันต์ แต่ท่านสอนให้คนอื่นเป็นพระอรหันต์ได้ ท่านสอนให้ลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์หมดเลย ท่านสอนนะ ท่านสอนให้วิธีการปฏิบัติ

พอคนไปรู้ เอ๊อะเรารู้ได้อย่างไรเนี่ย คนสอนเราต้องรู้ดีกว่าเราจริงไหมขนาดเรารู้ แล้วคนสอนเราจะรู้ขนาดไหนวะ เราปฏิบัติไปผัวะๆ ปัจจัตตัง แล้วที่รู้นี่หลวงปู่มั่นเป็นคนบอกหมด ทำอย่างนี้ๆๆ ท่านบอกทำอย่างนี้ แล้วมึงรู้เอง พอรู้เอง คนสอน อ้าวถ้าคนสอนไม่รู้แล้วสอนได้อย่างไร ฉะนั้น ครูบาอาจารย์ของเราถึงเคารพครูบาอาจารย์มาก เคารพหลวงปู่มั่นมาก แล้วท่านไม่พูดออกไปนี่ไง

แต่นี่ฆราวาสสอนธรรมพูดอะไรก็ได้ เขียนอย่างไรก็ได้ จะชี้แจงอย่างไรก็ได้ไม่มีความละอาย ไม่มีความละอายในใจเลย แต่ครูบาอาจารย์ของเรามีความละอายในใจ ท่านสอนให้ประพฤติปฏิบัติ สอนให้เป็นจริงไง เพราะอะไร เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสั่งพระอานนท์ไว้เลย “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ปฏิบัติบูชาเราเถิด” แล้วเอ็งจะไปเอาบารมี ๑๐ ทัศที่ไหนอีก

ทาน ศีล ภาวนา มีทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง ถือศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำสมาธิเกิดได้หนหนึ่ง ทำสมาธิได้ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาขึ้นมาหนหนึ่ง แล้วเอ็งภาวนาอยู่นี่ เอ็งจะได้บุญขนาดไหน ร้อยหนพันหนบวกเข้าไปสิ

แล้วบอกว่า “ต้องไปบารมี ๑๐ ทัศ ต้องถอยไปบารมี ๑๐ ทัศก่อนแล้วค่อยมาภาวนา ผมก็เลยไปไม่ถูกเลย” เขาว่านะ

นี่ไง เราจะยกตัวอย่างเป็นเรื่องไป บารมี ๑๐ ทัศ มันเป็นเรื่องของธรรมและวินัย ธรรมวินัย เรื่องบารมี ๑๐ ทัศจำเป็นไหม สุดยอดไหม

สุดยอดๆๆ เพราะไม่มีบารมี ๑๐ ทัศจะไม่มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเพราะบารมี ๑๐ ทัศ พระพุทธเจ้าบำเพ็ญมา พระพุทธเจ้าสมณโคดมของเราบำเพ็ญมา ท่านบำเพ็ญของท่านมาท่านถึงเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสุดยอดไหม สุดยอด

แล้วอย่างพวกเราล่ะ...ขี้ตีน ขี้ตีน ขอให้กำหนดพุทโธได้ก็เก่งแล้ว จะบารมี๑๐ ทัศ มันจะทัศไหนล่ะ

นี่พูดถึงนะ เวลาพูดเขาพูดได้ แต่ถ้าเรามีสติปัญญา สาธุนะ ถ้าเขามีเป้าหมาย มีการทำเพื่อคุณงามความดี สิ่งที่เป็นคุณงามความดี ความดีคือความดีคนเราทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำคุณงามความดีนั่นคือคุณงามความดี ใครทำคุณงามความดีคือบุญกุศลของเขา

ใครทำความชั่ว ใครทำทุจริต ใครทำสิ่งใดเป็นผลทับซ้อนในใจของเขา นั่นเป็นความชั่ว แต่อ้าง อ้างธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไอ้พวกเราไอ้พวกไม่มีวุฒิภาวะ ไอ้ข้างในกลวง ฟังแล้วทึ่งเลยนะ “โอ้โฮจริงเนาะ ไอ้พวกเรานี่นั่งแล้วเจ็บหลัง พุทโธก็ไม่ได้สักที อู๋ยโคตรลำบากเลย สงสัยจะต้องไปสร้างบารมีก่อนแล้ว

กว่าเราจะมาปฏิบัติได้นะ เราต้องมีศรัทธามีความเชื่อของเราขนาดนี้นะ ถ้ามีความเชื่อแล้วเราทำของเรา นี่พูดถึงว่าบารมี ๑๐ ทัศจำเป็นไหม จำเป็น

ฉะนั้น เขายกตัวอย่างว่าพระพุทธเจ้า เวลาคนที่เป็นญาติของเขา เขาบอกยกตัวอย่างองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าท่านบำเพ็ญมาจนได้ตรัสรู้ สำรวมกาย วาจา ใจ แต่การภาวนาให้ภาวนาไปตามอัตภาพ ไม่เน้นเรื่องการภาวนาเป็นจริงเป็นจัง

เวลาเราเห็นแค่นี้มันก็รู้อยู่แล้ว ถ้าทำทานก็ทำทานตลอดไป ถ้าทำทาน เห็นไหม ดูสิ เวลาวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา เมืองไทยทั้งเมืองเลย ประเทศไทยทั้งประเทศเลย วันวิสาขบูชา วันต่างๆ ทุกคนไปวัดหมดเลย นั่นก็ไปทำทานไง นี่ก็ไปทำทาน นั่นระดับของทาน ถ้าอย่างนั้นเราก็เห็น

นี่เขาเน้นเรื่องบารมี ๑๐ ทัศ แต่เรื่องการภาวนาทำพอตามอัตภาพ

ทีนี้ของเรา ถ้าเราจะทำจริงของเรา ถ้าเราทำจริงของเรา เราจะเอาจริงเอาจังของเรา เห็นไหม

สิ่งที่มีบารมี เขาว่า “ถ้าไม่มีบารมี ๑๐ ทัศเลย มันจะภาวนาไม่ได้ อย่างเช่นเขาบอกว่าถ้าบารมี ๑๐ ทัศเต็ม ไปเกิดเป็นเทวดา แล้วไปอยู่บนสวรรค์พระพุทธเจ้าหรือพระสาวกจะนำทางไปเอง

แล้วถ้าเขานำทางไปแล้วเราไม่ยอมไปล่ะ เพราะเรามีบารมีมากกว่านะ เพราะเรามีบารมี ๑๐ ทัศ แล้วเขาจะมานำเราไป เราไม่ไปล่ะ

นี่ไง เวลาคน เราเคยพูดบ่อยๆ ชาวพุทธเรา พวกเราอ่านพระไตรปิฎกกันมาว่า ถ้าเกิดพร้อมพระศรีอริยเมตไตรยแล้วเราจะภาวนาง่าย ทุกคนก็คิดอย่างนั้น

แต่เราถามกลับว่า เอ็งมีสิทธิ์อะไร เอ็งได้ทำอะไรไว้ แต่ถ้าเราได้ทำบุญกุศลไว้ เราอธิษฐานไว้ เราตั้งเป้าไว้ เออเราก็มีโอกาส นี่ไง มันต้องมีการกระทำทั้งนั้นน่ะ เรียกว่าสายบุญสายกรรมไง

ดูสิ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดถึง ลูกศิษย์ของพระสารีบุตรปัญญาวิมุตติ เป็นสายปัญญาหมดเลย ลูกศิษย์ของพระโมคคัลลานะมีฤทธิ์หมดเลย ชอบ เขาสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา ถ้าสร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมาเวลาพูด เวลาแสดงสิ่งใดมันเห็นชอบกันไปหมด ลูกศิษย์เทวทัตลามกหมดเลยถ้าพูดเรื่องโกหก ชอบ พูดเรื่องเอารัดเอาเปรียบคนอื่น ชอบ ลูกศิษย์เทวทัต ถ้าลูกศิษย์ของพระสารีบุตร ก็ชอบไง นี่สายบุญสายกรรม

ถ้าเขาสร้างบุญสร้างกรรมกันมา เห็นไหม ดูสิ เพื่อนเราพูดอะไร เออชอบจังไอ้บางคนพูดแล้วไม่ชอบเลย นี่สายบุญสายกรรม เขาได้สร้างบุญสร้างกรรมร่วมกันมา ถ้าเขาสร้างบุญร่วมกันมา มันพูดอะไร เหมือนเราเจอคนถูกชะตาเต็มที่เลยบางคนไม่เคยเจอหน้ากันเลย เจอทีแรกมันขวางไปหมดเลย คนเรามันได้สร้างมาสร้างมาแล้วมันซับลงที่นี่ทั้งนั้นน่ะ

ทีนี้บอกว่า ถ้ามีบารมี ๑๐ ทัศแล้ว เทวดาหรือพระพุทธเจ้าจะมาชักนำไปเลย

ถ้าเขามาชักนำไปแล้วเอ็งไม่ไปล่ะ เขาชักนำ เอ็งก็ไม่ได้ประโยชน์หรอกเพราะเวลาจริงๆ เวลาตรัสรู้มันตรัสรู้ด้วยมรรค คือตรัสรู้ด้วยคุณธรรม ตรัสรู้ด้วยศีล สมาธิ ปัญญาในใจของตน ถ้าเขามานำไป เขาก็นำอยู่ข้างนอก

เราพูดบ่อย เวลาคนขี้ดื้อนี่นะ คนป่วยเขาเอาเปลมาหามก็ไปแล้ว แต่เราแก้ทิฏฐิของคน แก้ง่ายไหม ความคิดของคน เราจะพูดให้เขาเข้าใจ ง่ายไหม แต่ถ้าร่างกายของเขา ถ้าเขาไปนอนขวางใครที่ไหนนะ เราก็เอาเปลไปหามก็จบ มึงมานั่ง เดี๋ยวกูงัดออกได้หมดล่ะ แต่ความคิดงัดออกได้ไหม เราจะบอกว่า กิเลส เขาไม่ใช่ว่ามาชวนเอ็งไป เอ็งจะไปพ้นกิเลส...ไม่ใช่

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาสอนชฎิล  พี่น้อง เขาบูชาไฟอยู่ไปทรมานเขา บูชาไฟ พวกพราหมณ์ยังบูชาไฟกันอยู่นี่ หมุนๆ อยู่นั่นน่ะ ชฎิล พี่น้องเขาทำอย่างนี้มา พระพุทธเจ้าเวลาทรมาน “เธอไม่ใช่พระอรหันต์

ถ้าพระอรหันต์ เทศน์อาทิตตปริยายสูตรเลย ตาเป็นของร้อน หูเป็นของร้อนใจเป็นของร้อน ร้อนเพราะโทสัคคินา โมหัคคินา แล้วเขาคิดตาม ไปเทศน์ธัมมจักฯ พระอัญญาโกณฑัญญะคิดตาม ไอ้คิดตาม ไอ้ปัญญาที่มันหมุนนั่นน่ะ มันจะตรัสรู้หรือไม่ตรัสรู้มันอยู่ตรงนั้น

นี่ก็เหมือนกัน ไปเกิดเป็นเทวดาแล้วเขาจะมาชักนำไป

เขาจะเอารถมาเข็นไปใช่ไหม เขาจะชักนำไปอย่างไรล่ะ ใช้สายพานหรือ

ครูบาอาจารย์ เวลานักปฏิบัติของเรา เขาจะพูดให้สะกิดใจ พูดให้เราเกิดปัญญา นี่การแก้จิต แก้จิตเขาแก้กันอย่างนี้

ไอ้นี่บอกว่า มีเทวดาเขาจะมาจูงไปเลย

นั่นก็ศพไง รอบเมรุน่ะ  รอบ พระจูงนะ จูงอย่างนั้นน่ะ

คนภาวนาเป็นน่ะ มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้ เห็นไหม เขาบอกว่า เขาโคจะไม่เกิดบนศีรษะหมา สุนัขมันเกิดไม่ได้ มันมีคำ เขาเต่า เขาโคมันจะไม่เกิดบนหัวสุนัข นี่ก็เหมือนกัน มันเป็นไปไม่ได้ มันเป็นไปไม่ได้เลย

นี่เขาพูดไง “กระผมฟังแล้วผมอึ้งไปเลย อ้าวแล้วเราจะไปไหนเนี่ย

กรณีนี้เราถึงบอกกรณีตกทอง กรณีตกทอง ทองอยู่ในคอเราแท้ๆ เลย เวลาคนเขาเอามา เขาเอาทองเส้นใหญ่มาตกข้างหน้า แล้วก็มีหน้าม้ามา “อู้ฮูทองดีอย่างนู้น ทองดีอย่างนี้ ต้องแบ่ง” ไอ้เราด้วยความโลภก็ไปกับเขา นี่กรณีตกทองเพราะอะไร เพราะเราไม่มีปัญญา

เรามีปัญญา เขาพูดอะไรมา ไร้สาระ คือทองกี่เส้นก็ไม่เอา ทองในคอของฉันของแท้ ถ้าทองในคอของฉันของแท้ อันที่ตกอยู่เส้นจะใหญ่ขนาดไหนต้องไปร้านทองก่อน ให้ที่ร้านทองเขาดูว่าจริงหรือเปล่า

นี่ก็เหมือนกัน เขาจะพูดอย่างไรมันเป็นคำพูดของเขา ตกทองไง ถ้ามีบารมี๑๐ ทัศแล้วเดี๋ยวเขาจะมาจูงไปเป็นพระอรหันต์เลย

จริงหรือเปล่า จริงหรือ ใครจูงใครได้ ถ้าจูงได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจูงไปหมดแล้ว

พระในสมัยพุทธกาลมาต่อรองพระพุทธเจ้าร้อยแปด ถ้าไปค้นคว้าในพระไตรปิฎกจะเห็นเลย พระที่ดีๆ มาเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาเป็นลูกศิษย์ลูกหา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนจนเป็นพระอรหันต์ พระที่บารมีไม่ถึงมาต่อมารองจะให้พระพุทธเจ้าพาไปเที่ยวสวรรค์อย่างนั้น

พระพุทธเจ้าถามว่า “เราสัญญากับเธอไว้หรือ

ไม่ได้สัญญา

ถ้าไม่ได้สัญญา สึกก็สึกไปสิ” ในพระไตรปิฎกเยอะแยะ

นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเขาจะพูดอะไรก็แล้วแต่ “ผมนี่อึ้งเลย”...เกือบจะถอดทองให้เขาแล้ว ถอดทองให้เขาก็เลิกไง “โอ้โฮปฏิบัติมาเกือบตาย กูไปสร้างบารมีดีกว่า” ถอดทองให้เขาเลย แล้วได้อะไรมา ได้ทองเก๊ ไปทำทาน

ระดับของทาน เราก็ทำมาแล้ว ทาน ศีล ภาวนา ที่เราภาวนาอยู่นี่มันควรเกิดปัญญา เขาภาวนา ทำสมาธิ คนทำสมาธิ เด็กๆ เรียนหนังสือไม่ดี ให้ทำพุทโธๆให้ทำสมาธิ มันจะเรียนหนังสือดีมากเลย เพราะเดี๋ยวไปอ่านหนังสือมันจะเข้าใจ

เราไม่มีปัญญาเลย นั่งสมาธิๆ มันจะเกิดปัญญาขึ้น คนนั่งสมาธิมันจะมีข้อมูลร้อยแปด มันจะไหลเข้ามาในสมองเลย เราก็พิจารณาของเราสิ อะไรถูก อะไรผิดอะไรดี อะไรไม่ดี มันก็ฝึกหัดปัญญาของเรา ถ้าเรามีปัญญาของเราขึ้นมา ทองแท้

แล้วทองแท้ เขาก็บอกว่า “ที่ทำๆ อยู่นี่ผิดหมดเลย ทำแล้วไม่ได้ เพราะบารมี๑๐ ทัศไม่ถึง

ถอดทองของเราไปให้เขาเลย แล้วไปเอาทองของเขาไปสร้างทานกันใหม่ไงมันจะมาตกทอง แล้วตกทอง แล้วเราไม่มีวุฒิภาวะก็ไปเลย

แต่ถ้าเรามีวุฒิภาวะ ใครเอาทองอะไรมาตกก็ไม่เอา ทองของฉันของจริงทาน ศีล ภาวนา เราขึ้นมาขั้นระดับของการภาวนาแล้ว ถ้าเราขึ้นมาขั้นของภาวนา ให้ทานร้อยหนพันหนไม่เท่ากับถือศีลบริสุทธิ์หนหนึ่ง เรามีศีลบริสุทธิ์ร้อยหนพันหนไม่เท่ากับทำให้เกิดสมาธิได้หนหนึ่ง แล้วเรามีสมาธิร้อยหนพันหนไม่เท่ากับเกิดภาวนามยปัญญาหนหนึ่ง ดูสิ แล้วเราขึ้นมาขั้นไหนแล้ว เราขึ้นมาขั้นไหนแล้ว

แต่เวลามันเป็นเรื่องปกตินะ ถ้าเราไปภาวนานี่ทุกข์ไหม ทุกข์ ลำบากไหมลำบาก ลำบากเพราะอะไรล่ะ ลำบากเพราะกิเลสกับใจของเรามันคู่ซี้ กิเลสกับใจมันซี้กัน มันเป็นบัดดี้ มันอยู่ด้วยกันมานาน แล้วจะผลักมันออก มันไม่ค่อยยอมไปมันลำบากตรงนี้ มันลำบากตรงกิเลสมันครอบงำใจเรานี่ แล้วเราจะทำให้มันเป็นสมาธิก็แสนยาก เวลาธรรมะจะเป็นคู่ซี้นี่ไม่ค่อยเอา แต่กิเลสชอบ ไปเที่ยวดีกว่าไปเที่ยวก่อน เดี๋ยวค่อยมา พรุ่งนี้ค่อยภาวนาก็ได้ อู้ฮูภาวนามากไม่ได้หรอกภาวนาแล้วเดี๋ยวเป็นพระอรหันต์ไปก่อน เดี๋ยวเร็วเกินไป เวลากิเลสมันยุไง ชอบถ้าเวลาเป็นธรรมะขึ้นมามันบอก อู๋ยเราต้องจริงต้องจัง ไม่ชอบ ไม่ชอบ นี่มันยาก ยากตรงนี้ มันยากเพราะกิเลสของเรา แล้วกิเลสของคนมันไม่เท่ากัน บางคนเข้มแข็ง บางคนทำคุณงามความดี เราต้องทำของเราอย่างนี้ไง

กระผมเลยอึ้งไปเลย

โอ้โฮไอ้คำนี้ทำให้เราสะอึกเลยนะ ถ้าเป็นเรานะ ไอ้คนที่มาพูด ญาติของโยม เราถีบไปเลย กูข้ามมึงไป  ขั้น  ขั้นแล้ว กูภาวนาอยู่นี่ มึงแค่สร้างบารมีอยู่นั่น

ฉะนั้น เวลาเราปฏิบัติแล้วมันก็มีตรงนี้แหละ ตรงที่เวลาภาวนาไปแล้วส่วนใหญ่คนมาถามว่า “หลวงพ่อ ผมทำแล้วมันไม่ค่อยได้ผล

เราก็บอกว่า จริตนิสัย มันที่อินทรีย์ คำว่า “อินทรีย์” เห็นไหม คนที่เข้มแข็งขึ้นมามันมีเหตุมีผลขึ้นมาจะต่อรองกับกิเลสของเรา ไอ้คู่ซี้ๆ กูไม่คบมึงแล้ว มึงหลอกกูมาตลอดเลย คนที่เข้มแข็งเดินจงกรมเหนื่อยไหม เหนื่อย เดินจงกรมทุกข์ไหม ทุกข์ แต่ทุกข์แล้วเราได้อะไร หนึ่ง สุขภาพดี คนเดินจงกรมจะเดินธุดงค์ได้ยาวไกล สุขภาพก็ไม่ค่อยเจ็บไข้ได้ป่วย นี่เราทำเราได้ประโยชน์แล้ว

เดินจงกรมนี่นะ เรามีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้นมา อาหารเรากินเราอยู่พอสมควรของเรา เราประหยัดมัธยัสถ์ของเรา เรามีทรัพย์สินเงินทองเหลือของเรา ชีวิตเราก็มีความสุขของเราแล้วแหละ มันได้ๆๆ อยู่แล้ว เห็นไหม เดินจงกรมก็ได้ นั่งสมาธิก็ได้ ถ้าคนที่มีสติมีปัญญา เรามาขั้นของการภาวนาแล้ว ถ้ามาขั้นของภาวนา เราจะย้อนลงกลับไปขั้นของทานอีกหรือ

เวลาไปทำใหม่ๆ ก็ชอบนะ เพราะมันแบบว่ากระแสสังคมไง คนเขาเฮฮาก็สนุกดี แต่ไปสักหนสองหนเบื่อแล้ว จืด ครั้งที่แล้วก็อย่างนี้ ครั้งนี้ก็เหมือนเดิมเลย

เพราะพิธีกรรมมันก็ถอดมาจากศาสนพิธี แต่นี่รสชาติมันจืดแล้ว ถ้าเราเป็นการตลาดใช่ไหม เราก็ต้องพลิกแพลงแล้ว เดี๋ยวจะพาไปเที่ยวสวรรค์ เดี๋ยวจะพาไปดูวิมานของเจ้าของเลย อู้ฮูตาพองเลย ไปเรื่อยน่ะ เพราะอะไร อะไรก็แล้วแต่ทำบ่อยๆ แล้วมันจืด แต่ถ้าจืดแล้วเราจะเรียกศรัทธาไว้ทำอย่างไร มันเป็นแนวทางทั้งนั้นน่ะ

แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญา เราทำทานของเราก็ทำทานด้วยบัณฑิตไง เราเสียสละเพื่อคุณธรรมของเรา เราเสียสละเพื่อหัวใจของเราไง ให้มันเข้มแข็งขึ้นมา เราเสียสละ เรารู้ว่าเราเสียสละเพื่ออะไร แล้วเสียสละแล้วมันก็สร้างอำนาจวาสนาบารมีมา ถ้าสร้างบารมีมา อินทรีย์ อินทรีย์มันแก่กล้า เพราะสัทธินทรีย์ ศรัทธาศรัทธาแก่กล้า สตินทรีย์ก็สติมั่นคง นี่ถ้าเราฝึกหัดๆๆ อินทรีย์มันจะเข้มแข็งขึ้น ถ้าอินทรีย์มันเข้มแข็งขึ้น มันภาวนามันก็ชัดเจนขึ้น พอภาวนาขึ้นมามันก็มีฐานรองรับขึ้น มันมีที่มา เห็นไหม สัมโพชฌงค์ เราฝึกหัด เราปฏิบัติขึ้นมา นี่ของจริงมันอยู่นี่

นี่ไง “อานนท์ เธอบอกเขาเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด” พอปฏิบัติบูชามันจะพิสูจน์กันที่นี่แหละ มันเหมือนเรานี่แหละ ต่างคนต่างกลับเข้าบ้านของตน แล้วดำรงชีพของตัวเองขึ้นมาให้ได้ ถ้าใครดำรงชีพได้ คนนั้นเอาตัวรอดได้ นี่มันก็เป็นประโยชน์ขึ้นมา

ฉะนั้น สิ่งที่บอกว่าเวลาเขาพูด ถ้าจะบอกว่าบารมี ๑๐ ทัศมันจำเป็นไหม

มันเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อย่างพวกเรา เราก็พยายามทำดีที่สุด ทำดีที่สุด แต่ถ้าทำอย่างนั้นเลย พระพุทธเจ้าเกิดได้ครั้งละ องค์ แล้วเวลา  องค์แล้ว พุทธันดรมันยาวไกลมาก พระพุทธเจ้าไม่มีเกิดซ้อนไม่มี พระพุทธเจ้าเกิดองค์เดียวเท่านั้น แล้วเกิดแสนยาก

แล้วถ้าเป็นเรา เราเพิ่งปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ เราปรารถนาตอนนี้ ไม่รู้อีกเมื่อไหร่ ไม่รู้อีกเมื่อไหร่เลย เราจะต้องเวียนตายเวียนเกิดอีกเมื่อไหร่ เพราะอะไร เพราะพระศรีอริยเมตไตรยจองไว้แล้ว เพราะอำนาจวาสนาบารมีแข่งกันไม่ได้ อนาคตวงศ์อีก ๑๐ องค์ แล้วเราจะไปเข้าแถวตรงไหนวะ เราจะไปเข้าแถวตรงไหนล่ะ เพราะอะไรรู้ไหม เพราะว่าเราสร้างบุญสร้างกรรมกันมาเยอะนะ

ฉะนั้น เราจะบอกว่า ถ้าบารมี ๑๐ ทัศ ๑๐ ทัศก็ ๑๐ ชาติ แล้วชาติปัจจุบันนี้ในชาติปัจจุบันนี้ ในชาติปัจจุบัน ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปัจจุบันธรรมนี่ ถ้าคนที่เกิดในชาติปัจจุบันนี้มีสติมีปัญญาระลึกถึงธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หลวงตาท่านใช้คำว่า “คนไม่มีอำนาจวาสนาไม่มีโอกาสนับถือศาสนาพุทธ

แล้วเราเป็นชาวพุทธ เราเกิดเป็นมนุษย์แล้วเรามานับถือพระพุทธศาสนา เรามีอำนาจวาสนาหรือยัง ถ้ามีอำนาจวาสนาขึ้นมาแล้วเราต้องสร้างปัญญาของเราให้เข้มแข็งต่อเนื่องขึ้นไป ไม่ใช่ย้อนกลับไประลึกอีก ๑๐ ชาติ แล้วชาติปัจจุบันนี้กูโยนทิ้งเลยนะ แล้วกูต้องไปกำเนิดใหม่อีก ๑๐ ชาติ จะไปสร้างบารมี ๑๐ ทัศนั่นโอ้โฮปวดหัวๆๆ นี่เอาข้อเท็จจริงไง

ฉะนั้น เราจะบอกว่า ทองคำในตนเอาเก็บไว้ อย่าให้เขามาตกทอง ไปเอาสิ่งที่เรายังไม่แน่ใจว่ามันอยู่ที่ไหนเลย แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามันเป็นอดีตนะ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสร้างสมบุญญาธิการอย่างนี้มาถูกต้อง บารมี ๑๐ ทัศนี่สุดยอด สุดยอดของพระโพธิสัตว์ สุดยอดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วถ้ามนุษย์ทุกคนจะทำแบบนั้น จะทำคุณงามความดีแบบนั้น สาธุทำได้ทั้งนั้นน่ะ ทำดีไม่มีปัญหาหรอก ใครทำคุณงามความดีเป็นความดี ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว ใครทำคุณงามความดีเป็นคุณงามความดี

แต่เวลาคุณงามความดี บารมี ๑๐ ทัศ ทาน ศีล ภาวนา เวลาเรื่องของภาวนา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์ไว้ “อานนท์ เธอบอกเขานะ ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด ให้ปฏิบัติบูชาเราเถิด” แล้วพวกเราปฏิบัติบูชาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า นี้เป็นคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะไม่ใช่คำพูดของญาติของโยม เพราะญาติของโยมเขาบอกว่าวัดเขาทำบารมี ๑๐ทัศ ญาติพูด ฆราวาสพูด

แต่นี่พระพุทธเจ้าพูด พระพุทธเจ้าพูดกับพระอานนท์ พระพุทธเจ้าพูดเองบอก “ปฏิบัติบูชาเราเถิด อย่าบูชาเราด้วยอามิสเลย” อามิสก็ทานนั่นไง บารมี๑๐ ทัศนั่นไง นั่นแหละอามิส แต่ปฏิบัติบูชานี่เอาจริงๆ เลย เอาจริงๆ แล้วก็จริงๆ

ทีนี้พอจริงๆ แล้ว แล้วผมปฏิบัติจะปฏิบัติได้ไหม

เวลาปฏิบัติไปแล้ว มันปฏิบัติแล้วไม่ได้ผล ก็เพราะเขาขู่ไง เขาเอาทองเก๊มาขู่ทองจริง บอกว่า “ถ้าไม่ปฏิบัติบารมี ๑๐ ทัศ ภาวนาจะไม่ได้

เออเอาของเก๊มาขู่ของจริงเลยนะ ไอ้ได้ไม่ได้มันเป็นสิ่งที่เราสร้างมาใช่ไหมตอนนี้เรามาเกิดเป็นมนุษย์ใช่ไหม อำนาจวาสนาเท่าไรก็อยู่ในใจเราใช่ไหม แล้วปัจจุบันนี้เราคิดของเราอย่างนี้ เราปฏิบัติอย่างนี้ มันผ่านอันนั้นมาหรือยัง มันผ่านมาแล้ว ถ้าเราปฏิบัติแล้วเราปฏิบัติของเราให้ได้สิ

ทีนี้มันเป็นที่คำถามเขาบอกว่า แต่ก่อนเขาก็อยู่ทางโลก เขาก็ทำของเขา แต่พอมาศึกษาธรรมะของครูบาอาจารย์แล้วกระผมจึงเข้าใจว่าให้ถือศีลอย่างจริงจังและภาวนา ถ้าไม่ภาวนาก็เละเทะอย่างนั้น เขาเลยเคร่งครัดขึ้นมา ภาวนาขึ้นมาทุกวันนี้ วันละไม่ต่ำกว่า - ชั่วโมง แต่พอฟังญาติพูดแบบนี้ปั๊บ ผมเลยเกิดความสงสัยมากและกลัวมากว่าปฏิบัติอย่างไรจึงจะทำให้บารมีที่เป็นทุนก่อนจึงจะภาวนาได้

บารมีมันเป็นนามธรรม ทีนี้เวลาโยมมีความคิดว่าเมื่อก่อนเละเทะมาตลอดเลย ตอนนี้มาประพฤติปฏิบัติแล้ว...นี่ก็เป็นบารมีแล้ว บารมีเพราะว่าชี้ขุมทรัพย์ใช่ไหม ใครที่มีความผิดพลาดอย่างไร คนอื่นบอกขุมทรัพย์ให้เรา นั่นเขาจะชี้ขุมทรัพย์ให้เรา แต่นี่เราคิดขึ้นมาได้เอง เราคิดได้เองว่าเมื่อก่อนเราก็สำมะเลเทเมา พอศึกษาธรรมะของครูบาอาจารย์แล้วเราประพฤติปฏิบัติทำจริงทำจังของเราขึ้นมา แล้วเรามาปฏิบัติของเรา แต่มันเสียอย่างเดียวเท่านั้นน่ะ พอญาติมาพูดอย่างนั้นผมก็เลยสงสัยมากเลย

ทองเก๊นะ คำพูดของเขา เขาพูดว่า ถ้าไม่มีบารมี ๑๐ ทัศ ไม่มีอะไร ภาวนาไม่ได้

แล้วบารมีอยู่ที่ไหนล่ะ แล้วจะภาวนาอย่างไรล่ะ แต่นี่เราภาวนาของเราแล้วเรามีครูบาอาจารย์แล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านภาวนา ท่านสิ้นกิเลสไปแล้วเราปฏิบัติของเราได้เต็มที่แล้ว

หลวงปู่มั่นท่านปรารถนาเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านจะไปสร้างบารมี ๑๐ ทัศเหมือนกัน แต่ท่านก็ได้ลา แล้วท่านประพฤติปฏิบัติแล้วท่านก็สำเร็จไปแล้ว อย่างของเรา เราก็ปฏิบัติของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา ถ้าเราจะได้คุณธรรมขนาดไหน ได้ศีล ได้สมาธิ ได้ปัญญามากน้อยแค่ไหน เราก็ทำของเราให้จริงจังของเรา มันจะเป็นสมบัติของเราไง

ถ้าจะไปบารมี ๑๐ ทัศมันไปเริ่มต้นใหม่ไง มันไปเริ่มต้นนู่นน่ะ แล้วเริ่มต้นขึ้นมา พอถึงที่สุดแล้วก็ต้องมาภาวนาอย่างนี้ เวลาบารมี ๑๐ ทัศเต็มแล้วก็ต้องมานั่งพุทโธอย่างนี้ ถ้าบารมี ๑๐ ทัศเต็มแล้ว

เขาบอกว่า ถ้าบารมี ๑๐ ทัศเต็มแล้วจะมีเทวดา จะมีพระพุทธเจ้าจะมานำทางเลย

แล้วตอนนี้เราพุทโธๆ อยู่แล้ว หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่นท่านนำทางอยู่แล้ว ถ้าเอ็งจะไปสร้างบารมี ๑๐ ทัศ สุดท้ายแล้วก็ต้องมาทำอย่างนี้ แล้วตอนนี้มาอยู่ตรงนี้แล้ว แล้วเอ็งจะกลับไปทางนู้นอีกหรือ อะไรของเอ็ง

นี่พูดถึงนะ เรื่องของญาติของโยมพูดอันนั้นมันเป็นปัญญาของเขา มันเป็นความเชื่อของเขา มันเป็นความเห็นของเขา แต่ความเห็นของโยม ที่เราเห็นคุณค่าเห็นคุณค่าตอนบอกว่า แต่ก่อนโยมก็สำมะเลเทเมา แต่พอได้มาศึกษาธรรมะของครูบาอาจารย์แล้วถึงเห็นเป็นความจริงความจังขึ้นมา โยมถึงได้ปฏิบัติมา

นี่คือปัญญาของโยมแท้ๆ เลย นี่โยมค้นคว้ามาเองเลย นี่โยมรู้โดยปัจจัตตังรู้โดยหัวใจของโยมเลย แล้วญาติของโยมเขามีอะไร มันน่าเชื่อถือกว่าประวัติครูบาอาจารย์ที่โยมอ่านมาแล้วหรือ ญาติของโยม ที่ญาติของโยมพูด กับโยมที่ศึกษาธรรมะของครูบาอาจารย์มานี่ อะไรมีคุณค่ามากกว่ากัน อะไรมีน้ำหนักมากกว่ากัน แล้วโยมก็ทำดีมาแล้ว มีคุณค่ามาแล้ว ทำไมไปเชื่อเขาล่ะ ทำไมไปเชื่อเขา

กลับมา กลับมาตั้งสติแล้วปฏิบัติของตน ตนมาถูกทางแล้ว ใครมาชักใบให้เรือเสีย แล้วก็จะล่มปากอ่าว แล้วก็จะไปกับเขา ตั้งสติให้ดี ตั้งสติให้ดี แล้วเวลาภาวนาทุกข์ยากไหม ทุกข์ แต่ถ้ามันทำได้นะ ได้ศีล ได้สมาธิ ได้ปัญญาแล้ว มันจะเป็นสมบัติของโยมจริงๆ ไม่ใช่ชื่อตามตำรา ไม่ใช่ชื่อของศีล ชื่อของสมาธิ ชื่อของปัญญา เราจะปฏิบัติขึ้นมาให้เป็นสมบัติของเรานะ ถ้าปฏิบัติขึ้นมาแล้วรู้จริงเห็นจริงแล้ว ไอ้ปัญหาที่โยมถามนี่จบเลย แต่นี้เพราะโยมเริ่มศรัทธา อจลศรัทธาศรัทธาของคนมันยังคลอนแคลนไง

ถ้าศรัทธาจริงๆ แล้วมันจะไม่คลอนไม่แคลน มันจะจริงจัง ถ้าอจลศรัทธา ได้สมาธิได้ปัญญาแล้วมั่นคง แต่นี้เรากำลังพยายามฝึกหัดของเราขึ้นมา เห็นไหมศรัทธามันยังคลอนแคลน ถ้าเป็นอจลศรัทธา ศรัทธาที่ไม่คลอนแคลน ศรัทธาที่มั่นคง ถ้าศรัทธาที่มั่นคงเพราะได้รู้ได้เห็นตามความเป็นจริง ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม เอวัง